วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องที่136: ความต่างที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

136. สวัสดีคะ  ผู้อ่านที่รัก
                ผ่านไปอีกหกวัน แล้วก็มาพบกันตามนัด ตัวน้อยทำงานทัวร์  ทำให้ผ่านวันเวลาไปอย่างมีค่า  และสนุก  เมื่อได้หยุดก็หาอะไรที่มีประโยชน์ทำ  อย่างเช่น วันพรุ่งนี้ ( 12 มิย. 56)   ตัวน้อยจะร่วมเดินทางไปกับพี่สามคนผู้ศรัทธา  น่ารัก  และอุทิศตนทำงานเพื่อพระเจ้า  เพื่อพี่น้อง
คราวที่แล้วตัวน้อยร่วมเป็นตุ๊กตาหน้ารถ  ไปเป็นเพื่อนพี่เขา  เพื่อสอนการทำน้ำชีวภาพเอนกประสงค์  เป็นการสร้างรายได้  ให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่ง  ที่จ. ตาก  (ยังไม่ได้เขียนแบ่งปัน  เพราะแบ่งปันความรู้  และประสบการณ์ที่ไปอบรมครูคำสอนก่อน  นานไป  เกรงตัวน้อยจะลืม....)
ในคราวนี้ พี่เขามีโครงการช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีที่แข็งแรง ได้ทำเกษตรพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพตน  และครอบครัว  ด้วยการเริ่มต้นอย่างกล้วย ๆ ใน “โครงการปลูกต้นกล้วยด้วยความรัก”  ผู้ใดมีจิตศรัทธาปรารถนาร่วมซื้อต้นกล้วยแจกผู้ป่วยที่พอแข็งแรง  แต่น่าสงสารมาก ๆ  ขอเชิญบริจาคได้ที่ ศูนย์คามิลเลียน โซเชียล เซนต์เตอร์  ระยอง โทรศัพท์ (038)685- 480, (038)691-480
ใจนั้น  ตัวน้อยอยากไปมาก ๆ แต่ตัวน้อยปวดท้อง...มาตั้งแต่เช้า  รับประทานยาไปสามรอบแล้ว  จะหายทันไหมเนี่ย  กรุณาสวดภาวนาให้ตัวน้อยแข็งแรง และร่วมทำพันธกิจแห่งรักนี้ให้สำเร็จไปด้วยนะคะ
ขอขอบคุณทุกเมลที่ส่งมาให้ทั้งแบ่งปันความรู้ ความชื่นชม  ความห่วงใย  ซึ่งเป็นกำลังใจสำคัญให้ตัวน้อย  ทำพันธกิจแห่งการเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตต่อไป  และต่อไป....
ขอพระพรขององค์พระเยซู  ความรักขององค์พระบิดา  ความสัมพันธ์กับองค์พระจิต   จงสถิตกับผู้อ่านที่รัก  ตลอดไป  อาแมน
4พระองค์ประทานกำลังใจในความทุกข์ยากต่าง ๆ ของเรา เพราะเราได้รับกำลังใจจากพระเจ้าแล้ว เราจึงให้กำลังใจผู้มีความทุกข์ทั้งมวลได้  5เราได้รับการทรมานร่วมกับพระคริสตเจ้ามากฉันใด เราก็ได้รับกำลังใจเดชะพระคริสตเจ้ามากฉันนั้น 6เมื่อเรารับความทุกข์ยาก ท่านก็ได้รับกำลังใจและความรอดพ้น เมื่อเรารับกำลังใจ ท่านก็ได้รับกำลังใจ  ซึ่งบันดาลให้ท่านมีพละกำลังที่จะอดทนต่อความทุกข์ยาก  เหมือนกับที่เรากำลังอดทนอยู่  7เรามีความหวังอย่างแน่วแน่ในท่านทั้งหลาย  เพราะเรารู้ว่าท่านมีส่วนร่วมรับความทุกข์ของเราฉันใด ท่านก็จะมีส่วนร่วมรับกำลังใจพร้อมกับเราด้วยฉันนั้น”  2 โครินทร์ 1:4-7
เอาหล่ะคะ  ตอนนี้  เชิญอ่าน
เรื่องที่136: ความต่างที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
[  “ไม่มีสันติสุข  ถ้าไม่มีสันติภาพของศาสนา  ไม่มีสันติภาพของศาสนา  ถ้าไม่มีศาสนสัมพันธ์”
เพราะเรา นักศึกษา อบรมครูคำสอน ชั้นปีที่สอง ภาคฤดูร้อน ศูนย์คริสตศาสนธรรม แห่งชาติ ปีการศึกษา 2556 ได้เรียนในวิชาศาสนสัมพันธ์  ทำให้เราได้ไปทัศนศึกษาเพื่อการสานเสวนา  ซึ่งเป็นกระบวนการพูด  และการฟัง  การให้  และการรับ  การแสวงหา  และแบ่งปัน  เป็นการเปิดตนเองรับรู้ประสบการณ์ทางศาสนาของผู้อื่น  และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางศาสนา  จะไม่พูดถึงเนื้อแท้ ๆ ของคำสอนทางศาสนา อยู่บนพื้นฐานความเท่าเสมอกัน  ความจริงใจ  และวางใจ  ยอมรับความจริงในความผิดบกพร่องของตนเอง  และของศาสนิกในศาสนาของตนทั้งในอดีต  และปัจจุปัน  เป็นพยานถึงศาสนาของตนด้วยความเชื่อมั่น  และยึดมั่นในขนบประเพณีของตน  ต้องแสดงออกด้วยความเคารพ  สุภาพ  ซื่อตรง  มีไมตรีจิตต่อกัน  มีแรงจูงใจทำการเสวนาที่มาจากความรักตามคำสอนของศาสนา  และส่งเสริมความเข้าใจ  และสัมพันธภาพ  ความปรองดอง  การเป็นเพื่อน ความร่วมมือกัน  และสันติ] (ข้อความจากเอกสารประกอบวิชาศาสนสัมพันธ์ หลักสูตรอบรมครูคำสอนภาคฤดูร้อน ศูนย์คริสศาสนธรรมแห่งชาติ ปี 2556 ) 
สถานที่สามที่เราไปทัศนศึกษา  คือวัดม่วงแค  ซึ่งอยู่รั้วติดกันกับมัสยิดฮารูน  ใกล้อาสนวิหารอัสสัมชัญ  ทั้งสามศาสนาอยู่ใกล้ชิดกันอย่างสันติ  เพราะบารมีแห่งแผ่นดินประเทศไทย  ที่ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา
และ เพราะทุกศาสนาล้วนสอนให้ศาสนิกเป็นคนดี  ศาสนาพุทธ สอนให้เมตตา  ศาสนาอิสลามสอนให้มีสันติ  ศาสนาคริสต์สอนเรื่องความรัก
                ที่วัดม่วงแค  มีพระภิกษุสององค์เทศน์แบ่งปันให้เราฟังในเรื่องของความหมายของคำว่า  “โบสถ์”  และ “หลักธรรมคำสอน” ท่านเจ้าอาวาสรับรองเราอย่างดี  ขอแบ่งปันพอสังเขป  คือ
                โบสถ์ หมายถึงสถานที่สําหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมทําสังฆกรรม เช่น สวดพระปาติโมกข์ อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต, อนุโลมเรียกสถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาอื่นว่า โบสถ์ เช่น โบสถ์พราหมณ์ โบสถ์คริสต์.
                หลักคำสอนคือ  เมตตา  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วแจ่มใส
สำหรับความเข้าใจของตัวน้อย เพราะรักจึงปฏิบัติกิจเมตตา  จิตใจจะผ่องแผ้วแจ่มใสด้วยมโนธรรมที่ดี      
เพราะ  [มโนธรรม  เป็นเสียงของพระเจ้าที่ดังก้องในจิตใจของมนุษย์  ว่า จงทำสิ่งดี ละเว้นสิ่งชั่ว 
           มโนธรรม เป็นกฏของพระเจ้าที่จารึกในใจของมนุษย์  ซึ่งเรียกร้องให้รักสิ่งดี  ละเว้นสิ่งชั่ว
          และมโนธรรม เป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าในตัวมนุษย์  เป็นความรู้ดีรู้ชั่ว
                มโนธรรมมีหลายลักษณะ  เช่นมโนธรรมถูก  มโนธรรมผิด  มโนธรรมขัดแย้ง  มโนธรรมฟุ้งซ่าน  มโนธรรมหย่อนหยาน  มโนธรรมแน่นอน  มโนธรรมสงสัย]  (ข้อความจากเอกสารประกอบวิชาศาสนสัมพันธ์ หลักสูตรอบรมครูคำสอนภาคฤดูร้อน ศูนย์คริสศาสนธรรมแห่งชาติ ปี 2556 ) 
                เราแต่ละคนคงมีมโนธรรมในหลายลักษณะ ปน ๆ กันอยู่  แต่สิ่งหนึ่งที่ติดใจตัวน้อยซึ่งคุณพ่อองค์หนึ่งได้สอนถึงคำว่า สัมพันทนิยม  ซึ่งหมายถึง  ความเชื่อมโยงตามใจที่ฉันชอบ  เช่น ใคร ๆ เขาก็ทำกัน  ฉันก็ทำบ้าง
 ถ้าทำในเรื่องดี  ก็เป็นเรื่องดี  ที่ผลของความดีจะตามมา  แต่ถ้าทำในเรื่องไม่ดี  ก็เป็นเรื่องไม่ดี  ที่ผลความไม่ดีก็จะตามมาเช่นกัน  คิดถึงพระวาจาในหัวใจว่า  “จงทำตามตัวอย่างที่ดี  อย่าทำตามตัวอย่างที่เลว”
อย่างเช่น  ใคร ๆ เขาก็ซื้อของเงินผ่อนกัน  รูดบัตรเครดิตไปก่อน  แล้วค่อยผ่อนใช้  เงินเดือนก็หาไม่พอใช้อยู่แล้ว  ต้องหมุนเงินกัน ชักหน้าไม่ถึงหลัง เครียด หาเงินมาชำระหนี้  บางคนเส้นเลือดในสมองแตกตาย  บางคนฆ่าตัวตาย  บางคนหาทางแก้ปัญหาในทางร้าย ๆ
พระเจ้าทรงสอนให้เราอย่าเป็นทาสของของบนโลกนี้  การมีชีวิต  แค่สิ่งจำเป็น  แค่อาหารประจำวันก็เพียงพอ  ความฟุ้งเฟ้อทำให้เราเป็นทาสของปีศาจ  วุ่นวาย  ยุ่งเหยิง จนไม่มีกะจิตกะใจหาพระเจ้า 
พระเจ้าทรงสอนให้รู้จักประมาณตน  อย่าตกเป็นทาสของบาป  แต่...แม้ในยามลำบาก  พระองค์ก็ยังจะทรงช่วยเราเสมอ  เหมือนดั่งพระวาจาในหัวใจที่ว่า   “จงขอ  แล้วท่านจะได้รับ  จงแสวงหา  และท่านจะพบ  ที่ท่านขอ และไม่ได้รับ  เพราะท่านขอ  เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนเอง  ถ้าท่านขอในนามของเรา  เรา(พระเยซู) จะทำให้”   ผู้อ่านที่รัก  เห็นไหมคะว่า  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรารัก  และเมตตาเราเพียงใด
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด  เราก็เป็นความแตกต่างที่เป็นหนึ่งเดียวกัน  ด้วยว่า  มนุษย์นั้น  มาจากพระเจ้า  และวันหนึ่ง  ต้องกลับไปหาพระเจ้า  และในฐานะคริสตชน ที่ใช้ชีวิตกับผู้คนต่างความเชื่อ  จึงต้องเจริญชีวิตด้วยความรัก  ฉลาดรอบคอบ  และเป็นสักขีพยานความเชื่อของตน [ เทียบข้อความใน คำแถลงของสภา สังคยานาวติที่ 2 NOSTRA AETATE เรื่อง ความสัมพันธ์ของพระศาสนจักร กับศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์]
“พระคริสตเจ้า ทรงเป็น หนทาง ความจริงและชีวิต”  ยอห์น 1:6
“มนุษย์พบชีวิตทางศาสนาของตนอย่างสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้า  ผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งคืนดีกับพระองค์” (เทียบ 2 โครินทร์ 5:18-19)
“จงรักกัน และกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” ยอห์น 15:12
“เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน”  ยอห์น 17:21
อาแมน.
ลูกแกะตัวน้อย.
ปล. ตัวน้อยขอแบ่งปันเมลที่ผู้อ่านที่รักกรุณาส่งมาให้อ่านด้วยกันนะคะ
เรื่องจริงที่ หมอไม่ได้บอก:
คีโม กับ มะเร็ง

หลังจากหลายปีที่พูดกันว่า การทำคีโม เป็นทางเลือกเดียวที่จะลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆ อีก
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ. จอห์น ฮอพกินส์

คนทุกคน มีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้ จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้น ในระดับพันล้านเซล (1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่า ไม่มีเซลมะเร็ง ในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่า ระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้ เพราะจำนวนของมัน ยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

เซลมะเร็ง เกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้ง ในช่วงอายุของคนๆ หนึ่ง

เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็ง จะถูกทำลาย และป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัว กลายเป็นเนื้องอก

เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่า คนๆ นั้นมีความบกพร่องหลายประการ เกี่ยวกับ โภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหาร และปัจจัยอื่นๆ ในการดำรงชีวิต

เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการ เกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร รวมทั้งสารอาหารบางอย่าง จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

การทำคีโม คือการให้สารเคมี ที่มีความเป็นพิษ กับเซลมะเร็ง ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลดี ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุ ทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

การบำบัดด้วยคีโม และการฉายรังสี มักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าทำไปนานๆ พบว่า มักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโม หรือการฉายรังสี มากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกัน อาจปรับตัวเข้ากันได้ หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆ นั้น จึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิด และทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

การทำคีโม และการฉายรังสี อาจเป็นสาเหตุ ทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัด ก็อาจเป็นสาเหตุ ทำให้เซลมะเร็ง กระจายไปทั่วร่างกาย

วิธีที่ดีที่สุด ในการทำสงครามกับมะเร็งคือ การไม่ให้เซลมะเร็ง ได้รับอาหาร เพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว อะไรคืออาหาร ที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
น้ำตาล คืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาล คือการตัดแหล่งอาหารสำคัญ ที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาล อย่างเช่น "นิวตร้าสวีต" "อีควล" "สปูนฟูล" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือ น้ำผึ้ง มานูคา(จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เกลือสำเร็จรูป ก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ "แบรก อมิโน" หรือเกลือทะเลแทน
นม เป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดี ในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
เซลมะเร็ง เติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อ จะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้น จึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือ รับประทานไก่แทนเนื้อ และหมู ในเนื้อ อาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภท ตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่เป็นมะเร็ง
อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้พืช จำพวกหัวเมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่างกาย มีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจาก การทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว น้ำผักสด จะให้เอ็นไซม์ ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่าย และซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 1 นาที เพื่อบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่ รวมทั้งถั่วที่มีหน่อ หรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสด ดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่าย ที่อุณหภูมิ 140 องศา F (ประมาณ 4 องศา C)
ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียว ถือเป็นทางเลือกที่ดี และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่ม ให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงทอกซิน และโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่น มักมีสภาพเป็นกรดให้หลีกเลี่ยง

โปรตีนจากเนื้อ จะย่อยยาก และต้องการเอนไซม์หลายชนิด มาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ ที่ไม่สามารถย่อยได้ ในระบบทางเดินอาหาร จะเกิดการบูดเน่า และมีความเป็นพิษมากขึ้น

ผนังของเซลมะเร็ง จะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงด หรือการรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง จะทำให้มีเอนไซม์เหลือมากพอ มาใช้โจมตี กำแพงโปรตีน ที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้ เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็ง ได้ดีขึ้น

สารอาหารบางอย่าง อาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน (สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phyti acid] สาร Flor-essence สารEssiac สารแอนตี-ออกซิแดนส์ วิตามิน เกลือแร่ (EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกาย สามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น สารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่า ทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย ในการกำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

มะเร็ง เป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุก และการคิดในเชิงบวก จะช่วยให้เราสามารถอยู่รอด จากการทำสงครามกับมะเร็ง .. ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรัก และจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และมีความสุขกับชีวิต

เซลมะเร็ง ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ในสภาวะที่มีออกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกาย ได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น ลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยออกซิเจน ถือเป็นวิธีการอีกอย่าง ที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

หวังว่า คงได้ประโยชน์โดยทั่วกันนะครับ .. และถ้าจะ share ต่อ ก็คงไม่มีใครห้ามครับ/
09.05.2556  เขียนเสร็จ.
11.06.2556 เขียนเพิ่ม  และส่งเมล
พบกันใหม่   วันอังคารกับเรื่องที่137: สาวใช้
ขอเชิญตามอ่าน...  “ความรักของพระเจ้ากับลูกแกะตัวน้อย”  เรื่องที่ส่งไปแล้วใน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น