วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรื่องที่147: กางเขน

147. สวัสดีคะ  ผู้อ่านที่รัก
                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิเศษ  เพราะประกอบด้วยบทความจากสองผู้เขียน  ที่ได้รับแรงบันดาลใจเดียวกัน  คือมีผู้อ่านที่รักคนหนึ่ง  ซึ่งรู้จักกันเป็นส่วนตัว  ได้ขอให้ตัวน้อยช่วยตอบคำถามให้  ตัวน้อยจึงหาที่ปรึกษา ซึ่งก็คือพ่อครูคนแรกของตัวน้อย หรือนายชุมพาบาลที่ 1 ( ถ้าอยากทราบว่าท่านเป็นใคร  และมีความหมายในชีวิตพระของตัวน้อยอย่างไร  กรุณาย้อนกลับไปอ่าน บทนำ  และเรื่องที่ 2 นะคะ) คุณพ่อกรุณาตอบมาอย่าง... จัดหนัก  จัดเต็ม  ดีมาก ๆ ...จนตัวน้อยไม่สามารถเก็บไว้อ่านคนเดียวได้  ด้วยว่าพระเจ้าทรงสอนให้รักผู้อื่น  ภาคปฏิบัติของความรักนั่นก็คือการแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่น  ตัวน้อยจึงขออนุญาตคุณพ่อเผยแผ่งานของคุณพ่อ ร่วมกับงานของตัวน้อย  ซึ่งคุณพ่อก็ยินดี  เพราะเป็นงานของพระ  และเพื่อทุกคน  ขอขอบพระคุณ คุณพ่อมา ณ โอกาสนี้ด้วยคะ...
                ในบทความแรก จึงเป็นงานเขียนของตัวน้อย ในบทความที่สอง สาม สี่ เป็นงานเขียนของคุณพ่อ กรุณาอ่านดูนะคะ โดยเฉพาะในบทความที่สามซึ่งเป็นผลทางกายวิภาค  ตัวน้อยอ่านน้ำตาซึมเลย  โอ..พระเยซูเจ้าข้า....  ถ้าเป็นคนที่อยู่แทบเชิงกางเขน  จะรู้สึกอย่างไรนะคะ...
ขอขอบคุณทุกเมลดี ๆ ที่กรุณาส่งมาให้  ขอพระเจ้าตอบแทนทุกน้ำใจดีร้อยเท่าพันทวี ทั้งในโลกนี้  และในสวรรค์  อาแมน.
เราได้มอบแบบอย่างแก่ท่าน  ยอห์น 13:15
                ขอโมทนาขอบพระคุณสุดจิตสุดใจ   พระเจ้าข้า....
ปล. ตัวน้อยแนบเพลงประกอบเรื่องนี้  คือจากใจพระเยซู  มาให้ ฟังกันเล่น ๆ ด้วยนะคะ  เนื้อเพลงจะต่างจากที่ตัวน้อยแต่ง  เพราะเป็นเนื้อเพลงที่ได้รับการปรับแต่งโดยพ่อครู  หรือนายชุมพาบาลที่หนึ่ง  อัดด้วยโทรศัพท์มือถือ  สถานที่คือ  หน้าลิฟท์บริษัทตัวน้อย  คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่  กรุณาฟังเล่น ๆ แก้ขัดไปก่อนนะคะ
ขอขอบพระคุณ คุณพ่อที่กรุณาปรับแต่งเนื้อเพลงให้ และคุณวรา ใหญ่กลาง ที่กรุณาเล่นกีตาร์ให้  บทเพลงที่ตัวน้อยแต่ง โดยไม่มีความรู้เรื่องโน๊ต  ดนตรี หรือการแต่งเพลงเลย  แต่งออกมาด้วยความรู้สึกที่ล้นใจ  เป็นอีกหนึ่งพระพรที่ตัวน้อยได้รับหลังจากคืนดีกับพระเจ้า  กรุณาลองฟังดูนะคะ 
หากเป็นพระประสงค์ บทเพลงจากพระพรของลูกแกะตัวน้อยนี้คงสำเร็จไป  ในเวลาของพระองค์  ผู้ใดมีจิตเมตตา  ศรัทธา และสามารถช่วยตัวน้อยทำเพลงได้  ก็ยินดี  และขอขอบคุณมาล่วงหน้านะคะ  ขอพระเจ้าตอบแทนด้วยพระพรอันอุดม  ทั้งบนแผ่นดิน และในสวรรค์  อาแมน.  และในท้ายเรื่องมีข่าวร่วมช่วยประชาสัมพันธ์สองเรื่องด้วยคะ
เอาหล่คะ  ตอนนี้ เชิญอ่าน
บทความที่ 1:
เรื่องที่147: กางเขน
พระองค์ทรงซื่อสัตย์  และทรงเที่ยงธรรม  ถ้าเราสารภาพบาป  พระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้สะอาด  จากความอธรรมทั้งปวง 1 ยอห์น 1:9
เด็กน้อยต่างความเชื่อคนหนึ่งถามว่า  “ทำไมพระเยซูอยู่บนกางเขน”  ตัวน้อยได้รับคำถามฝากตอบมาก็คิด..คิด..คิด..สวด..สวด..สวด...จะตอบอย่างไรดี
                ตัวน้อยขอตอบว่า  พระเยซูอยู่บนกางเขนเพื่อประกาศความรักอันเป็นที่สุดของความรัก  ซึ่งก็คือความรัก  และนบนอบต่อพระประสงค์ของพระบิดาอย่างถึงที่สุด  ยอมแม้ต้องตายเพื่อผู้อื่น  โดยเฉพาะเราคนบาป  เพื่อช่วยให้เรามนุษย์ได้รอดพ้นกลับไปสู่สวรรค์
ตัวน้อยคิดถึงคลิป คลิปหนึ่งที่ได้ดู ระหว่างอบรมครูคำสอน  เรื่องมีอยู่ว่า
ในห้องสอบของโรงเรียนแห่งหนึ่ง  เมื่อการสอบเริ่มขึ้น  คุณครูได้ออกไปทำธุระนอกห้องสักครู่ ด้วยความไว้วางใจในความซื่อสัตย์ของนักเรียน  แต่แล้วมีเด็กคนหนึ่งลุกขึ้น  หยิบข้อสอบในวิชาต่อไป  ที่วางอยู่บนโต๊ะ 
เมื่อคุณครูกลับมาที่โต๊ะ  สังเกตได้ว่า มีความผิดปกติ  จึงลองนับข้อสอบ  ปรากฏข้อสอบหายไปหนึ่งชุด  จึงได้ถามนักเรียนว่า  ใครเป็นคนขโมยข้อสอบไป  ไม่มีใครยอมรับ  คุณครูจึงทำโทษ กักนักเรียนไว้ในห้องเรียนจนเย็น  ก็ยังไม่มีใครยอมรับ 
จนคุณครูไม่ทราบจะทำอย่างไรดี  ร้องไห้เสียใจที่ลูกศิษย์เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง  จึงมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งยอมรับผิด  คุณครูจึงตี..ตี...ตี...ด้วยน้ำตา  เพราะเป็นลูกของคุณครูเอง  ซึ่งคุณครูรู้จักลูกคุณครูดีว่าจะไม่มีวันขโมยข้อสอบ  ซึ่งทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเสียหน้า  เสียใจ  คุณครูร้องไห้สงสารลูก  และ เป็นน้ำตาแห่งความภูมิใจของผู้เป็นแม่  ที่มีลูกกล้าหาญ  และเสียสละ นั่นเอง

เด็กดีคนนี้  ก็ไม่ต่างไปจากพระเยซูเจ้าที่ทรงรับโทษบาป  เพื่อไถ่เราจากการเป็นทาสของบาป  ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขน
คำถามนี้  ทำให้ตัวน้อยคิดถึงเพลงที่ตัวน้อยแต่งเมื่อมองกางเขน  มองจน  เกิดคำถามในใจ แล้วพระเยซูทรงตอบ เป็นบทเพลงที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน.... 
เพลงจากใจพระเยซู
๐ เจ้าเห็นความรักเราไหม  เราถูกตรึงกางเขนเพื่อเจ้า  รอยบาดแผลเจ็บลึกสุดเศร้า  เห็นไหมเรารักเจ้าเพียงใด
๐ ยามใดที่เจ้าอ่อนแอ  ยามใดเจ้าแพ้การผจญ  หัวใจเราทุกข์สุดเกินทน  เจ้าทุกคนจงสำนึกรีบกลับใจ
๐ จงหันมาพึ่งพระเมตตา  นำพารักเราโอบอุ้มเจ้า  เราจะคุ้มเจ้าให้รอดจากเงา  ความขลาดเขลาจงหายไปจากใจ
๐ จงหมั่นสวดภาวนา  ทุกเวลาเช้าค่ำพร่ำวิงวอน  แล้วเราจะให้ทุกพระพร  นำคำสอนสู่ใจในทุกวัน
เจ้าเห็นความรักเราไหม  เราถูกตรึงกางเขนเพื่อเจ้า  รอยบาดแผลเจ็บลึกสุดเศร้า  เห็นไหมเรารักเจ้าเพียงใด.        เพราะก่อนเราจะเกิดมาในโลกมนุษย์  เราเป็นชาวสวรรค์  เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้เราแต่ละคนลงมาเกิดในโลกมนุษย์ด้วยฉายาลักษณ์ของพระเจ้า  เรามีกายเนื้อจากดิน  และกายทิพย์จากลมปราณของพระเจ้า  หรือที่เรียกว่าจิตวิญญาณ กายเนื้อแปดเปื้อนด้วยสิ่งสกปรกที่เห็นได้ฉันใด  วิญญาณก็แปดเปื้อนด้วยความผิดบาปได้ฉันนั้น
บาปคืออะไร  บาปคือการทำผิดพระประสงค์แห่งพระบัญญัติของพระเจ้า  เช่น  การผิดประเวณี  ความลามก  กิเลสตัณหา  ความปรารถนาในทางชั่วร้าย  และความโลภ ซึ่ง  เป็นเหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างหนึ่ง  เทียบ โคโลสี 3:5   ความโกรธ   ความโมโหร้าย  การปองร้าย  การสาปแช่ง  และการพูดหยาบคาย  การพูดเท็จ  เทียบ  โคโลสี 3:8-9
บาปทำให้เราเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า  ไปเป็นพวกของปีศาจซาตาน  ซึ่งพยายามหลอกล่อ  ล่อลวง  ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก  คืออาดัมกับเอวา  ทำให้ต้องออกจากสวนสวรรค์ เพราะความจองหอง อยากเป็นใหญ่เหมือนพระเจ้า  และต้องอยู่ในโลกที่ทุกข์ยาก  แสนเหน็ดเหนื่อย แสน ลำบาก และความตาย
                องค์พระบิดาเจ้าเปี่ยมล้นพระเมตตา  จึงส่งพระบุตราที่รักมาเป็นพระผู้ไถ่  ทรมานด้วยกางเขนตรึงทั้งกายใจ  เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นกลับสู่สวรรค์ (เนื้อเพลง ท่อนหนึ่งจากบทเพลงใหม่ล่าสุดที่ตัวน้อยแต่งได้ไม่นานมานี้...)
                กางเขน  จึงเป็นเครื่องหมายของความรัก  ความหวังแห่งการรอดพ้น  และ  ชีวิตนิรันร  ซึ่งมีพระเยซูเจ้าเป็นหนทาง  ความจริง และชีวิตที่นำเราคืนดีกับพระเจ้า  นั่นเอง
พระเจ้าทรงทำให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสตเจ้า  พระองค์มิได้ทรงเอาผิดมนุษย์  แต่ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้  2 โครินทร์ 6:2
ไม่ว่าเราจะอยู่ในร่างกาย  หรือถูกเนรเทศจากร่างกาย  เราก็มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นที่พอพระทัย  เพราะเราทุกคนจะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า  เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ได้กระทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในร่างกายขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นว่า  จะดีหรือชั่ว  2 โครินทร์ 5:9-10
พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ  แต่จะมีชีวิตนิรันดร ยอห์น 3:16     
จงมีสติสัมปชัญญะ  และตื่นตัวอยู่เสมอ  เพราะศัตรูของท่านคือมาร  กำลังดักวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงโตคำราม  เสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้  1 เปโตร 5:8
จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า  และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้  สุภาษิต 16:3
ขอพระเจ้าประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ท่านได้อย่างอุดม  เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งที่เพียงพอ  2 โครินทร์ 9:8
อาแมน.
ลูกแกะตัวน้อย
25.07 . 2556  เขียนเสร็จ.
27. 08. 2556  เขียนเพิ่ม  และส่งเมล 
พบกันใหม่   วันอังคาร  กับเรื่องที่148: เรื่องผี ๆ
ขอเชิญตามอ่าน...  “ความรักของพระเจ้ากับลูกแกะตัวน้อย”  เรื่องที่ส่งไปแล้วใน
http://loveofgodwithlittlelamb.blogspot.com  หรือ  เข้า GOOLE --à CATHOLIC BY MY STORY                   เรื่องที่....  ก็จะได้อ่านเรื่องของตัวน้อยเช่นกันคะ
บทความที่ 2:
                      รักจนนาทีสุดท้าย
                                                                                         ป. ปัญญานันต์

วันนี้ได้อ่านบทความแปลเรื่อง “รายละเอียดทางกายวิภาค และจิตวิเคราะห์ของผู้ตาย เพราะถูกตรึงกับไม้กางเขน” ซึ่งเขียนโดย ดร. ซี ทรูแมน เดวิส แปลและเรียบเรียงโดยคุณพ่อพงษ์เทพ ประมวลพร้อม ตีพิมพ์ลงในอุดมศานต์ ฉบับเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 2013 หน้าที่ 26 – 30 ซึ่งมีใจความโดยสรุปว่า การหายใจของนักโทษที่ถูกตรึงกางเขน แต่ละครั้งนับเป็นความยากลำบาก เจ็บปวดทรมาน เพราะลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติ
ทำให้ผมได้คิดต่อว่า “พระเยซูเจ้าทรงรักมนุษย์ชาติจนนาทีสุดท้าย”จริง ๆ 
เพราะจากการวิเคราะห์ทางกายวิภาค ได้ข้อสรุปว่า จริง ๆ แล้วพระเยซูเจ้าสามารถเลือกเวลาสิ้นพระชนม์ได้ก่อนบ่ายสามโมง พระองค์อาจจะเลือกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่สิบโมงเช้าก็ได้ ด้วยการไม่ต้องฝืนชันกายขึ้นหายใจ
แต่ทำไมพระเยซูถึงทนฝืนชันกายขึ้นหายใจจนกระทั้งถึงเวลาบ่ายสามโมง
เวลาบ่ายสามโมงเป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้
ตามระเบียบของทหารโรมัน ณ วันนั้น เวลาบ่ายสามโมง เป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้ให้สามารถทำให้นักโทษผู้ถูกตรึงกางเขน ณ วันนั้นตายด้วยวิธีหักทุบกระดูก หักขา เพื่อทำให้นักโทษมีลักษณะทางกายวิภาค ที่มิสามารถฝืนชันตัวขึ้นหายใจได้อีก
ซึ่งตามปกติผู้คุมการประหารไม่มีสิทธิทำเช่นนั้นได้ ต้องปล่อยให้นักโทษทรมาน และตายเองอย่างช้า ๆ แต่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันศุกร์ก่อนวันสมโภชปัสกา ซึ่งตามธรรมเนียมของชาวยิว นับเอาเวลา หกโมงเย็นเป็นวันเริ่มต้นของวันใหม่ และการที่ใครก็ตามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องโลหิต และความตายหลังหกโมงเย็นของวันศุกร์ก็จะถูกถือว่าเป็นผู้มีมลทิน ไม่สมควรได้มีส่วนร่วมในการสมโภชปัสกา บรรดาหัวหน้าสมณะ จึงขออนุญาตปิลาตให้ทุบขาผู้ถูกตรึง เป็นกรณีพิเศษ เพื่อจะได้ต้องเร่งจัดการเรื่องศพของนักโทษให้ทันเวลาก่อนหกโมงเย็น (ยน. 19 : 31-37)
เวลาบ่ายสามโมงเป็นเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ให้เป็นเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู และพระองค์ก็ทรงทำตามพระประสงค์ของพระบิดาอย่างถึงที่สุดจนนาทีสุดท้าย พร้อมกับคำพูดประโยคสุดท้ายของพระองค์ว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” (ยน. 19 : 30)
พระเยซูเจ้าทรงใช้เวลาทุกเสี้ยวนาทีแห่งพระมหาทรมานบนกางเขน เป็นเวลาแห่งการไถ่บาปมนุษยชาติ โดยพระองค์ทรงยอมสมัครใจรับความเจ็บปวด ความทนทุกข์ทรมาน ทั้งสิ้นของมนุษยชาติไว้ในร่างกาย และหัวใจ ของพระองค์
พระเยซูเจ้าเลือกที่จะไม่ดื่มน้ำองุ่นเปรี้ยวผสมมดยอบ ซึ่งเป็นยาชา ก่อนที่จะถูกตอกตรึงกับกางเขน (มก. 15  : 23) หรือย้อนไปก่อนหน้านั้นพระเยซูเจ้าเป็นผู้ควบคุมการสนทนาระหว่างพระองค์กับปิลาต ในระหว่างการไต่สวนข้อกล่าวหา (ยน. 18 : 28 – 19 : 11) พระเยซูเจ้าไม่ได้แก้ข้อกล่าวหาเพื่อที่จะช่วยให้พระองค์ไม่ต้องถูกประหารชีวิต หรือย้อนไปก่อนหน้านั้นพระเยซูเจ้าไม่ได้หลบหนีการจับกุม ซึ่งสามารถทำได้ง่ายในสวนมะกอกที่แสนมืดมิด (มก. 14 : 43-52) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หรืออีกมากกว่านี้ที่ยังไม่ได้กล่าว ล้วนแสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเลือกที่จะทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ตามแผนการ และเวลาที่ถูกกำหนดไว้ด้วยน้ำใจอิสระของพระองค์
กลับมาที่หกชั่วโมงแห่งพระมหาทรมานบนกางเขน ที่การหายใจแต่ละครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก และเจ็บปวด
บทความเบื้องต้นทำให้ผมเพิ่งเห็นถึงเวลาแต่ละนาทีที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และแสนทรมาน(ซึ่งต่างจากที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูด กำกับ อย่างที่บทความกล่าวถึง) และได้เห็นถึงการอดทน สู้สนจนถึงที่สุดของพระเยซู สมแล้วที่พระองค์จะทรงตรัสเป็นคำสุดท้ายว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว”
คำถามในใจผมก็คือ “ทำไมพระองค์ต้องฝืนสู้ทนจนถึงบ่ายสามโมง”
คำตอบที่ตามมาก็คือ เพราะพระองค์ทรงรักเรามนุษย์มากมายเหลือเกิน และพระองค์อยากจะใช้เวลาทุกเศษเสี้ยวนาทีแห่งพระมหาทรมานให้คุ้มค่าสูงสุด แห่งการไถ่บาปมนุษยชาติไว้ในความเจ็บปวด แห่งพระวรกายของพระองค์ สมดังคำกล่าวที่ว่า “รักจนนาทีสุดท้าย...รักอย่างถึงที่สุด...สำเร็จบริบูรณ์แล้ว”
คำตอบตามมาที่ผมได้กับตัวเอง พร้อมการบรรเทาใจก็คือ “ไม่มีสักปี...ไม่มีสักเดือน...ไม่มีสักวัน...ไม่มีสักชั่วโมง...หรือไม่มีสักนาที ที่เราจะสงสัยว่าพระเจ้าทรงรักเราไหม แม้จะเป็นปีที่เลวร้าย...เดือนที่สับสน...วันที่มืดมน...ชั่งโมงที่แสนทรมาน...นาทีที่แสนเจ็บปวด ล้วนมีความรักของพระเจ้าซุกซ่อนปะปนอยู่ เพราะพระองค์ทรงรักเราทุกนาที และรักเราจนนาทีสุดท้าย
บทความที่ 3
รายละเอียดทางกายวิภาคพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน
รายละเอียดทางกายวิภาค และจิตวิเคราะห์ของผู้ตาย เพราะถูกตรึงกับไม้กางเขน
จากการวิเคราะห์ของ : ดอกเตอร์ ซี ทรูแมน เดวิส ในเอกสารที่ชื่อ การวิเคราะห์ทางกายภาพของการตรึงผู้คนบนไม้กางเขน”, new life magazine ฉบับเดือนApril 1982 (พิมพ์ครั้งแรกในวารสารเภสัชกรรมมลรัฐอริโซนา March 1965 ,สมาคมเภสัชกรรมมลรัฐอริโซนา)
หมายเหตุ : เพื่อให้ผู้อ่านบทความนี้ได้เข้าใจถึงอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายมนุษย์ได้ง่าย จึงมิได้ใช้ราชาศัพท์กับอวัยวะทุกส่วนอย่างเคร่งครัดตลอดบทความ
*************************************

การตรึงผู้คนบนไม้กางเขนคิดค้นขึ้นโดยชาวเปอร์เซีย ราว 300 ปี ก่อนค.ศ. และนำมาใช้อย่างสัมฤทธิ์ผลโดยชาวโรมันราว 100 ปี ก่อนค.ศ.


                                  https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQhgrB2dJXhqjkNK0SyE4NRLs0YuY6aMO6692D9FJqetUaqmV_A



1 . นับเป็นการตายที่เจ็บปวดที่สุดเท่าที่มนุษย์จะคิดค้นกันมาได้ และนี่จึงเป็นที่มาของศัพท์คำว่า ทำให้ทุกข์ทรมานกายใจในภาษาอังกฤษ (Excruciating) เพราะคำว่า การตรึงกับไม้กางเขนภาษาอังกฤษคือ “Crucify”

2 . การตรึงกับไม้กางเขนมีไว้สำหรับผู้ร้ายเพศชายที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์อย่างที่สุด พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธดื่มน้ำองุ่นเปรี้ยวผสมมดยอบที่ทหารโรมันถวายให้ดื่ม เพื่อช่วยกลบความเจ็บปวด (หรือถือว่าเป็นยาชาขนานเอกในสมัยนั้นนั่นเอง)
(มก. 15 : 23)

3 . พระเยซูเจ้าทรงถูกเฆี่ยนบนร่างเปลือยเปล่า และพระภูษาถูกทหารโรมันเอาไปแบ่งกัน นี่จึงทำให้บทเพลงสดุดี 22:18 ที่เขียนไว้เป็นจริงว่า พวกเขาเอาเสื้อผ้าเราไปแบ่งปันกัน และเสื้อยาวเขาเอาไปจับสลากกัน

4 . การตรึงพระเยซูเจ้ากับไม้กางเขนเป็นความตายอย่างช้าๆ น่าหวาดกลัว เจ็บปวดอย่างแน่นอน เนื่องจากถูกตะปูตอกตรึงกับไม้กางเขน ณ เวลานั้นเป็นไปไม่ได้ที่ตำแหน่งของอวัยวะทางกายวิภาคของพระเยซูเจ้าจะสามารถวางอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องได้

5 . หัวเข่าของพระเยซูเจ้าเอียงไป 45 องศา เพราะพระองค์จะทรงต้องแบกน้ำหนักในท่าที่กล้ามเนื้อบิดตึงซึ่งไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติทางกายวิภาคของมนุษย์ การจะรับน้ำหนักแบบนี้ทำได้เพียงแค่ไม่นานเท่านั้น โดยกล้ามเนื้อจะเป็นตะคริวเพราะอาการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณน่อง

6 . น้ำหนักของพระวรกายของพระเยซูเจ้าตกลงบนพระบาทซึ่งมีตะปูตอกทะลุตรึงอยู่ กล้ามเนื้อส่วนล่างของพระวรกายอ่อนแรง ดังนั้นน้ำหนักทั้งหมดของพระวรกายถ่วงดึงต่อบริเวณบั้นเอว แขน และหัวไหล่

7 . ในเพียงชั่วครู่เดียวเมื่อต้องถูกตรึงกับไม้กางเขน หัวไหล่ของพระองค์ก็จะบิดเบี้ยวผิดรูปจากธรรมชาติ หลังจากนั้นข้อศอกและข้อแขนของพระองค์ก็จะบิดเบี้ยวผิดรูปตามไปโดยปริยาย

8 . ผลของพระวรกายในข้อ 7. จึงทำให้แขนทั้งสองข้างถูกดึงด้วยน้ำหนักที่ถ่วงลงมายาวกว่าปกติถึง 9 นิ้ว ดังที่มีภาพปรากฏชัดเจนคือรอยบนผ้าที่เชื่อกันว่าเป็นผ้าพันพระศพจาเมืองตุริน

9 . ดังนั้นพระคัมภีร์จึงสำเร็จไปใน สดด. 22:14 ว่า ข้าพเจ้าถูกรินออกเหมือนน้ำ และกระดูกก็หลุดออกจากกัน

10. หลังจากที่ ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่ ของพระเยซูเจ้าเคลื่อนหลุดไปแล้ว น้ำหนักพระวรกายส่วนบนจึงถูกถ่วงดึงอย่างแรงต่อกล้ามเนื้อทรวงอกด้านหน้า

11. การถ่วงดึงกล้ามเนื้อเช่นนี้   ทำให้กระดูดซี่โครงถูกดึงยกขึ้นและล้ำออกจากลำตัวในท่าที่ผิดธรรมชาติอย่างมาก ช่องทรวงอกอยู่ในรูปแบบบิดเบี้ยว  ส่งผลให้ไม่เอื้ออำนวยต่อการหายใจอย่างมากที่สุด และเพื่อจะหายใจได้ พระเยซูเจ้าทรงจำต้องรวบรวมกำลังเพื่อพยุงยกพระวรกายที่ทิ้งถ่วงลงอยู่นั้นขึ้นมาให้ได้

12. เพื่อจะหายใจ พระเยซูเจ้าทรงต้องยันกล้ามเนื้อพระบาทให้ยั้งพระวรกายขึ้น ซึ่งเท่ากับต้องกดแผลที่พระบาทลงบนตะปูซึ่ งจะช่วยให้กระดูกซี่โครงเคลื่อนต่ำลง  และขยับกลับเข้ามาไม่ทิ่มออกเพื่อปอดจะหายใจได้สะดวก

13.
ปอดของพระองค์อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการหายใจอย่างถาวร การตรึงกางเขนจึงคล้ายกับเป็นการประหารด้วยการฉีดยาเข้าเส้นให้เสียชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง

14. ปัญหาก็คือพระเยซูเจ้าไม่ทรงสามารถยั้งพระวรกายขึ้นด้วยการกดพระบาทลงบนตะปูที่ตรึงอยู่ เนื่องด้วยกล้ามเนื้อขาที่บิดตะแคงอยู่ 45 องศานั้นล้าเกินกว่าจะขยับ ทั้งอาการเกร็งอย่างรุนแรงคล้ายตะคริวทีต้องอยู่ในท่ากายวิภาคบิดเบี้ยวสอดคล้องต่อเนื่องกันไปเช่นนี้เป็นอุปสรรคอยู่

15. ไม่เหมือนกับภาพยนตร์จากฮอลลีวูดที่สร้างเกี่ยวกับการตรึงกางเขนที่ผู้ถูกตรึงมีชีวิตชีวาตลอดเวลา ผู้ถูกตรึงกางเขนจะถูกบังคับทางกายภาพโดยปริยายให้ต้องเขย่งตัวเองขึ้นๆลงๆบนไม้กางเขนเพื่อจะได้หายใจอยู่ตลอดเวลา ช่วงเขย่งตัวขึ้นลงราว 12 นิ้ว

16. ขบวนการเพื่อขัดจังหวะการหายใจนี้เป็นสาเหตุของความทรมานอย่างใหญ่หลวง ผสมด้วยอาการหวาดกลัวการหายใจไม่ออก

17. เมื่อการตรึงกางเขนดำเนินไปถึงชั่วโมงที่ 6 ส่งผลให้พระเยซูเจ้าทรงแบกรับน้ำหนักพระวรกายด้วยพระบาทได้น้อยลงๆ กล้ามเนื้อขากับน่องหมดกำลังลงแล้ว ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่บิดเบี้ยวผิดตำแหน่งจนถึงที่สุด ทำให้การจะเขย่งยกพระวรกายให้ทรวงอกหายใจต่อไปได้อีกสักเล็กน้อยก็ทำไม่ได้แล้ว ภายในไม่นานหลังจากนั้นพระเยซูเจ้าก็ทรงหายใจสั้นลง และถี่มากขึ้น

18. การเคลื่อนไหวพระวรกายขึ้นลงเพื่อหายใจได้ยิ่งก่อเกิดความเจ็บปวดทรมานที่ข้อมือ พระบาท ข้อศอกและหัวไหล่ที่ผิดรูปไปหมดแล้วอย่างสิ้นเชิง

19. การเคลื่อนไหวเพื่อยืดพระวรกายจึงทำได้น้อยลง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอ่อนแรง แต่ความหวาดกลัวต่อการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าที่คืบคลานเข้ามาบังคับให้พระองค์ยังทรงต้องพยายามที่จะหายใจต่อไป

20. อวัยวะของพระวรกายส่วนล่างเจ็บปวดจากอาการเกร็งที่ทรงต้องพยายามแบกรับน้ำหนักที่ถ่วงลงมายังพระบาทของพระองค์และยังทรงต้องยกพระวรกายขึ้นเพื่อให้อยู่ในท่าที่พอจะหายใจได้

21. เกิดความเจ็บปวดจากเส้นประสาทกลางข้อมือที่ฉีกขาดรุนแรงอย่างปวดร้าวทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว

22. พระเยซูเจ้าทรงเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อและพระโลหิตทั่วพระวรกาย

23. รอยคราบโลหิตเกิดจากบาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีพระองค์ปางตาย ส่วนคราบเหงื่อมาจากพลังงานอย่างมากที่พระวรกายใช้ไปโดยอัตโนมัติในการทรงพยายามใช้ปอด เพื่อหายใจออกมาให้ได้ ทั้งหมดนี้ พระองค์ทรงเปลือยเปล่า บรรดาสมณะ ชาวยิวและฝูงชน รวมทั้งโจรบนไม้กางเขน ล้วนเย้ยหยัน กล่าวคำสบถและหัวเราะเยาะพระองค์ ยิ่งกว่านั้น พระมารดาของพระองค์ประทับยืนดูรับรู้อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วยความระทมทุกข์

24. ทางกายภาพ พระเยซูเจ้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาจะสิ้นใจ และการมาถึงของวาระสุดท้าย

25. เพราะว่าพระเยซูเจ้าทรงไม่สามารถยืดกระแสลมหายใจให้แก่ปอดได้อย่างพอเพียง ขณะนี้พระองค์ทรงอยู่ในสภาวะ ขาดลมหายใจเฉียบพลัน” (Hypoventilation)

26. ระดับออกซิเจนในเม็ดเลือดเริ่มต่ำ และเข้าสู่ภาวะ ออกซิเจนในเม็ดเลือดต่ำยิ่งก่วานั้นการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้หายใจได้ ก็อยู่ในท่าที่ทำให้ทรงขยับไม่ได้ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดกลับสูงขึ้นไปสู่อาการที่เรียกว่า ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงเกิน” (Hypercapnia)

27. ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเม็ดเลือดที่สูงขึ้นทำให้หัวใจของพระองค์มีอัตราการเต้นเร็วสูงขึ้นเพื่อจะพยายามผลิตออกซิเจนแก่เม็ดเลือดในร่างกายและจะได้ขับไล่คาร์บอนไดออกไซด์ให้มีปริมาณต่ำลง

28. ระบบประสาทศูนย์กลางการหายใจในสมองของพระเยซูเจ้าส่งสัญญาณเร่งด่วนมายังปอดให้เร่งหายใจ และพระเยซูเจ้าทรงเริ่มหายใจหอบ

29. ในทางกายภาพเพื่อจะผ่อนคลายขึ้นพระองค์จึงต้องทรงหายใจลึกขึ้น อย่างมิได้ทรงจงใจ พระวรกายของพระองค์จะเคลื่อนไหวเพื่อยกตัวขึ้นและลงบ่อยยิ่งขึ้น  และเร็วขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวดอย่างสาหัส การเคลื่อนไหวอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติจะเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเวลา 1 นาที ซึ่งเป็นที่พอใจของฝูงชน พวกทหารโรมันและสมาชิกสภาซันเฮดริน ที่มาเยาะเย้ยพระองค์อย่างมาก

30. อย่างไรก็ดี อันเนื่องมาจากการถูกตอกตรึงด้วยตะปูบนไม้กางเขน และการขาดลมหายใจมากขึ้นทุกที พระองค์ไม่ทรงสามารถเคลื่อนไหวเพื่อช่วยให้พระวรกายผลิตออกซิเจนแก่ร่างกายที่กำลังขาดอยู่นั้นได้

31. ความรุนแรงทั้งสองอาการ คือการขาดออกซิเจนและปริมาณสูงขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในเม็ดเลือดทำให้หัวใจของพระองค์ต้องเต้นเร็วขึ้น เร็วขึ้น และพระเยซูเจ้าก็เข้าสู่สถานะ หัวใจเต้นเร็วเกินปกติ (Tychycardia)

32. หัวใจของพระเยซูเจ้าเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ชีพจรของพระองค์จะอยู่ที่อัตรา 220 ครั้งต่อนาที เป็นอัตราสูงที่สุดที่คนเราจะรับได้

33. พระเยซูเจ้ามิได้เสวยสิ่งใดเลยเป็นเวลา 15 ชั่วโมง ตั้งแต่ 18.00 น. ของเมื่อวาน  นอกจากนี้พระเยซูเจ้ายังทรงถูกเฆี่ยนตีปางตาย

34. พระองค์สูญเสียโลหิตที่ไหลหยดจากบาดแผลทั่วพระวรกาย จากการเฆี่ยนตี จากแผลที่พระเศียรเนื่องจากหนามของมงกุฎหนามทิ่มแทง จากตะปูที่ตรึงข้อพระหัตถ์และพระบาท จากรอยแผลถลอกอันเนื่องจากการโบยตีและทรงหกล้ม

35. พระวรกายของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในสถานะสูญเสียน้ำ ความดันโลหิตของพระองค์ก็ส่งสัญญาณว่าต่ำลงมาก

36. ความดันโลหิตของพระองค์อาจจอยู่ที่ 80/50

37. พระองค์น่าจะอยู่ในขั้นแรกของอาการ ช็อกของร่างกาย ระดับเลือดต่ำ (Hypovolamia) อาการเต้นของหัวใจถี่สูง (Tychycardia) หายใจหอบถี่ (Tachypnoea) และเสียเหงื่ออย่างรุนแรง (Hyperhidrosis)

38. ประมาณเที่ยงวัน หัวใจของพระเยซูเจ้าคงเริ่มล้มเหลว

39. ปอดของพระองค์คงจะเริ่มบวมน้ำ (Pulmonary)

40. อาการเช่นนี้ย่อมรบกวนการหายใจของพระองค์ซึ่งไม่เป็นไปอย่างราบรื่นมาตั้งนานแล้ว

41. พระเยซูเจ้าทรงอยู่ในขั้นตอนหัวใจล้มเหลว และระบบหายใจล้มเหลว

42. พระองค์ตรัสว่า เรากระหายพระวรกายที่อยู่ในสภาพขาดน้ำของพระองค์ต้องร้องขอน้ำ

43. พระองค์ทรงหมดหวังที่จะได้รับการให้เลือด หรือน้ำเกลือเพื่อช่วยชีวิตเอาไว้อย่างแน่นอน

44. พระเยซูเจ้าไม่ทรงสามารถหายใจได้และค่อยๆขาดอากาศจนสิ้นพระชนม์

45. ถึงขั้นนี้พระเยซูเจ้าทรงเข้าสู่สภาพผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ

46. ของเหลว และเลือดในร่างกายไหลรวมกัน ณ ที่ว่างบริเวณหัวใจที่เรียกว่า เยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardium) (ซี่งก็สอดคล้องกับการเผยแสดงของพระเมตตา ที่เน้นการเผยแสดงลำแสงแห่งพระโลหิต และน้ำซึ่งไหลออกมากจากหัวใจที่ถูกแทง ซึ่งเป็นธ่อธารแห่งพระหรรษทาน)

47. ของเหลวที่มารวมกันบริเวณหัวใจทำให้หัวใจของพระเยซูเจ้าไม่อาจหายใจได้ (Cardiac Temponade)

48. สภาพของเหลวท่วมเยื่อหุ้มหัวใจ และหัวใจไม่อาจทำงานได้จึงทำให้หัวใจของพระเยซูเจ้าล้มเหลวหยุดทำงาน นี่น่าจะเป็นสาเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

49.
อาจเป็นไปได้เพื่อจะชะลอความตายออกไป ทหารก็จะวางไม้ชิ้นเล็กๆสำหรับนั่งเข้าไปที่ไม้กางเขนซึ่งจะช่วยให้พระเยซูเจ้าสามารถมีโอกาสถ่ายน้ำหนักตัวลงบนกระดูกก้นกบได้

50. ผลของสิ่งนี้ก็คือ อาจยืดเวลาออกไปถึง 9 วันจึงประสบความตายบนไม้กางเขน

51. เมื่อชาวโรมันต้องการให้การตายจบลงเร็วตามกำหนด พวกเขาก็เพียงแค่หักขาของผู้ถูกตรึงเพื่อทำให้หายใจไม่ได้ภายในไม่กี่นาที การทำแบบนี้เรียกว่า ตรึงตายโดยหักขา” (Crucifracrum)

52. เวลาบ่าย 3 โมง พระเยซูเจ้าตรัสว่า “Telestai” ซึ่งแปลว่า สำเร็จบริบูรณ์แล้วณ เวลานั้น พระองค์ทรงมอบวิญญาณแด่พระบิดา และสิ้นพระชนม์

53. เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าเพื่อหมายจะหักขาของพระองค์ ก็พบว่าพระองค์ก็สิ้นพระชนม์แล้ว จึงไม่ได้ทำการทุบกระดูกเพื่อหักขาของพระองค์   ส่งผลให้คำทำนายในพระธรรมเดิมที่ว่า “กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว” (สดด 34:20) เป็นจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของการเลือกลูกแกะปัสกา ใน อพย 12:46 ที่กระดูกของลูกแกะจะต้องไม่หักแม้แต่ชิ้นเดียว

54. พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์หลังจาก 6 ชั่วโมงที่ต้องแบกรับความเจ็บปวด ทรมานและทารุณกรรมอย่างเหี้ยมโหดเท่าที่มีการคิดค้นกันขึ้นมาได้

55. พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนอย่างคุณ และผมจะได้มีโอกาสรับความรอดพ้นสู่ชีวิตนิรันคร สิ่งเดียวที่พระองค์ขอจากเราคือ “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง สุดสติปัญญาของท่าน  และจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (ลก 10:27)
บทความที่ 4:
ทำไมพระเยซูเจ้าต้องถูกตรึงกางเขน
ผมได้รับคำถามนี้จากเยาวชนพุทธคนหนึ่งที่เริ่มสนใจอยากรู้จักคริสต์ศาสนา
คำตอบของผมก็คือ
1.       เพราะมันเป็นวิธีการลงโทษประหารชีวิตในสมัยนั้น
ขยายความการลงโทษโดยวิธีตรึงกางเขน เริ่มคิดขึ้นได้โดยชาวเปอร์เชีย (ก่อนพระเยซูเจ้าเกิดประมาณ 300 ปี) ต่อมาชาวโรมันนำมาใช้บ้าง โดยปรัชญาของการตรึงกางเขนก็คือ “นักโทษคนนั้น ๆ เป็นคนชั่วช้าเลวทรามสามานย์มาก จนไม่คู่ควรจะให้มันนอนตายบนแผ่นดิน (แผ่นดินยังมีค่ามากกว่ามัน) มันจึงต้องไปยืนตายบนต้นไม้  และนับเป็นการลงโทษประหารที่สะใจมาก คือมีการทรมานก่อน ให้แบกกางเขนประจานทั่วเมือง ให้ไปยืนประจานบนกางเขน และเป็นการทรมานให้ตายอย่างช้า ๆ (บางกรณีอาจอยู่นานถึงเก้าวัน)

2.       เพราะหัวหน้าชาวยิว ไม่ชอบขี้หน้าพระเยซูหลายอย่าง
 เช่น เข้าถือว่าพระเยซูอ้างตนว่าเป็นพระเจ้า เป็นต้นในการบอกกับคนพิการว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” ซึ่งชาวยิวถือว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจอภัยบาปได้ หรือพระเยซูทำการรักษาคนป่วยในวันสับบาโตหลายครั้ง ซึ่งชาวยิวถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายทางศาสนา หรือพระเยซูประณามความหน้าซื่อใจคดของหัวหน้าชาวยิวหลายครั้ง หรือเค้าอิจฉาที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจ ความนิยมชมชอบในตัว และคำสอนของพระเยซู ที่สำคัญพวกเค้ากลัวว่าพระเยซูจะก่อการกบฏ เพระพระองค์มีเชื้อพระวงศ์ดาวิด พระองค์เลือกศิษย์ 72 คน (เหมือนสภาผุ้แทนราษฎรษ์ของชาวยิว เลือกอัครสาวก 12 คน เหมือนคณะรัฐมนตรีของชาวยิว) ซึ่งถ้าปล่อยให้พระเยซูก่อการกบฏสำเร็จ พวกเขาก็จะตกกระป๋อง เสียอำนาจ เสียผลประโยชน์ จึงสมควรให้พระเยซูตายเร็วที่สุดเป็นดี (ทั้ง ๆ ที่ปีลาตซึ่งเป็นข้าหลวงของโรมันที่ถูกส่งมาปกครองชาวยิวในฐานะเมืองขึ้น ไต่สวนดูแล้วก็ไม่เห็นพระเยซูทำผิดอะไร คิดจะปล่อยตัว แต่คนเสียงมอบเสื้อคลุมยาวไม่ไหว ก็เลยปล่อยเลยตามเลย)

3.       เพราะพระเจ้าต้องการไถ่บาปมนุษย์
ตามตำนานธรรมทางศาสนายิวที่พระเยซูเจ้าถือกำเนิด เดิมมนุษย์เป็นอมตะ เพราะอยู่ในสวนสวรรค์ที่มีต้นไม้กลางสวนสองต้น ต้นหนึ่งเป็นต้นไม้แห่งชีวิต คือกินแล้วไม่ตาย(พระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์กินได้) อีกต้นเป็นต้นไม้แห่งความเป็นใหญ่เท่าพระเจ้า (พระเจ้าห้ามไม่ให้มนุษย์กิน) แต่ที่สุดด้วยความหยิ่งจองหองอยากเป็นใหญ่เท่าพระเจ้า มนุษย์ก็กินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วจนได้ เลยถูกพระเจ้าขับไล่ออกจากสวรรค์ (ก็เลยอดกินผลจากต้นไม้แห่งชีวิตไปด้วย) มนุษย์ก็เลยต้องตาย (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) และที่สุดเพื่อช่วยให้มนุษย์ไม่ต้องตาย คือได้ชีวิตนิรันดร์ ด้วยการกลับไปอยู่สวรรค์ (และได้กินผลของต้นไม้แห่งชีวิตอีก) พระเจ้าก็เลยก็ต้องเอาชีวิตของพระองค์มากแลก ด้วยการตาย (ก่อนที่จะตาย ก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนไง ... ไม่เกิดจะตายได้ไง)
------------------------------------  จบคะ  เหนื่อยหน่อยนะคะ ---------------------------
ปล:  ขอร่วมช่วยประชาสัมพันธ์  สองเรื่องคะ
เรื่องที่ 1:   เรียน Subject: ตารางเวลาและ แผนที่ไปศูนย์คามิลเลี่ยน ลาดกระบัง สำหรับผู้ต้องการไปเข้าเงียบระหว่าง 12-15 กันยายน
ตารางเวลาเข้าเงียบ Lectio ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2013 ที่ศูนย์คามิลเลี่ยนลาดกระบัง
Subject: แผนที่ไปศูนย์คามิลเลี่ยน ลาดกระบัง สำหรับผู้ต้องการไปเข้าเงียบระหว่าง 12-15 กันยายน

copy แล้วรูปไม่มาด้วย  ทำไงดีคะ.......อ้อ  ติดต่อ  คุณวันดี   084-105-8585  นะคะ
เรื่องที่ 2:  พี่น้องPMGที่รักและเคารพ

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์การอบรมศาสนสัมพันธ์และคริสตศาสนจักรสัมพันธ์ รุ่นที่ 7 ประจำปี 2013 ใช้เวลา 2 วัน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 7 ถึงวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายนนี้
ตามกำหนดการที่แนบมานี้ พี่น้องท่านใดสนใจสามารถแจ้งชื่อได้ที่

สมใจ(บี) ฝ่ายงานธรรมทูตฯ โทร. 081-911-2759 หรือที่ 02 - 237-7316

ยินดีต้อนรับทุกท่านนะคะ ขอพระอวยพรทุกท่านค่ะ

หนึ่งเดียวในพระคริสต์

PMG-BEE

ป.ล. วันเสาร์ที่ 21 กันยายน จะมีการอบรมพระสมณสาส์น(เอกสารสังคายนาวาติกันที่ 2)ที่เกี่ยวกับงานศาสนสัมพันธ์และคริสตศาสนสัมพันธ์ 3 ฉบับด้วยนะคะ
จบจริง ๆ แล้วคะ  ขอบคุณที่กรุณาอ่าน  จนจบ  เก่งจริง....น่ารักจังคะ  ......ตัวน้อย

_______________________________________________________________________________________________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น